ภาษีผ้าอนามัย
สำหรับประเด็น เรื่องผ้าอนามัยที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ หลายท่านอาจกำลังเข้าใจผิด เพราะจริงๆ แล้วภาครัฐได้กำหนดให้สินค้าผ้าอนามัยจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องสำอางมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เมื่อเร็วๆ นี้ ทาง อย. ได้ออกมาประกาศเพิ่มเติมว่า ผ้าอนามัยแบบสอด ก็จัดเป็นสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอางด้วยเช่นกัน จึงทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างที่เราทราบกันดี แม้ผ้าอนามัยจะจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องสำอางก็ตาม แต่ทว่าไม่ได้ถูกจัดให้เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะทางภาครัฐเองก็ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า ผ้าอนามัยทุกชนิดถูกจัดเก็บภาษีในรูปแบบ ภาษีมูลค่าเพิ่ม Vat 7% เท่านั้น ไม่ได้มีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมเหมือนกับกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ แต่อย่างใด
การที่ภาครัฐกำหนดไห้ผ้าอนามัยจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องสำอางนั้น คิดว่าเป็นผลดีต่อผู้บริโภคเพราะจะได้รับความปลอดภัยจากการควบคุมมาตรฐานการผลิต ไม่ใช่ว่า ใครที่ไหนก็สามารถผลิตผ้าอนามัยขึ้นมาได้ เพราะผ้าอนามัยเป็นสินค้าที่สำคัญใช้กับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิง แบรนด์ผ้าอนามัยทุกแบรนด์จำเป็นต้องมีการจดทะเบียน แจ้งเลขที่การผลิตและต้องเขียนรายการจดแจ้งตามเงื่อนไขที่กระทรวงสาธารณะสุขกำหนด และนี่อาจเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคหลายคนไม่เคยทราบมาก่อน
ส่วนในเรื่องของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม Vat 7% ประเด็นนี้คิดว่าน่าจะดีกว่าหากภาครัฐยกเลิกการเก็บภาษีในจุดนี้ได้ เพราะจะเป็นการช่วยเหลือผู้บริโภคให้เข้าถึงสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตได้ง่ายขึ้น หรือจะยิ่งดีเข้าไปอีกหากภาครัฐสามารถแจกผ้าอนามัยฟรีให้กับคุณผู้หญิง ซึ่งจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย และช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจทางสังคมได้ในทางอ้อม
บริษัทมองว่าเป็นผลดีต่อผู้บริโภค เนื่องจากจะได้รับความปลอดภัยจากการควบคุมมาตรฐานการผลิต และหากภาครัฐยกเลิกการเก็บภาษีได้ จะเป็นการช่วยเหลือผู้บริโภคให้เข้าถึงสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน ปัจจุบันภาพรวมตลาดผ้าอนามัยในไทย พบว่า ผู้หญิงไทยใช้ผ้าอนามัย 140 ล้านชิ้น ต่อเดือน หรือ1,680 ล้านชิ้นต่อปี โดยคิดเป็นมูลค่ากว่า 6 พันล้านต่อปี ผู้นำตลาดเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น 3 แบรนด์ จากอเมริกา 1 แบรนด์ มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันกว่า 97% ส่วนในด้านการแข่งขัน เจ้าตลาดยังคงเป็นแบรนด์ต่างประเทศ เพราะเข้ามาทำตลาดเป็นรายแรก ๆ โดยพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ในยังเน้นการซื้อสินค้าที่มีความคุ้มค่า โดยพิจารณาจากราคาเป็นหลัก สำหรับผ้าอนามัยมิโดริเป็นแบรนด์ไทย ผลิตในไทย เข้ามาทำตลาดไม่นาน ที่ผ่านมาผู้บริโภคยังติดภาพลักษณ์ของแบรนด์อยู่
สำหรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทได้ทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัยมิโดริ อย่างต่อเนื่อง ด้วยการชูจุดแข็งในด้านการใช้งาน ทั้งการซึมซับที่ดี และราคาที่เข้าถึงง่าย ซึ่งจากการศึกษาและวิจัยพบว่าผ้าอนามัยแบรนด์ชั้นนำของโลกต่างก็เลือกใช้ FLUFF PULP (WOOD PULP) และ SUPER ABSORBENT POLYMER (Sodium polyacrylate) ผ้าอนามัยมิโดริรุ่นใหม่ ได้เลือกใช้ FLUFF PULP ของอเมริกา และ ABSORBENT POLYMER ของญี่ปุ่น มาใช้ในการผลิตผ้าอนามัย
ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการตลาดในรูปแบบการทำในแบรนด์ของลูกค้า หรือ OEM แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงต้องนำผลิตภัณฑ์กลับมารีแบรนดิ้ง พร้อมปรับภาพลักษณ์และแพ็กเกจจิ้งใหม่ให้ดูทันสมัยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นสื่อสารแบรนด์และขยายช่องทางจำหน่าย ผ่านช่องทางออนไลน์ อาทิ LAZADA, SHOPEE, KONVY, WE LOVESHOPING และ BERAUTYCOOL เป็นหลัก
ภาพรวมตลาดผ้าอนามัยในไทย
จากรายงานของ MARKETEER พบว่า ผู้หญิงไทยใช้ผ้าอนามัย 140 ล้านชิ้นต่อเดือน หรือ1,680 ล้านชิ้นต่อปี โดยคิดเป็นมูลค่ากว่า 6พันล้านต่อปี ผู้นำตลาดเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น 3 แบรนด์ จากอเมริกา 1แบรนด์ มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันกว่า 97% จะเห็นได้ว่า ผู้หญิงไทยต้องจ่ายเงินจำนวนมากในการซื้อผ้าอนามัยในแต่ละปี หากมีโรงงานผลิตผ้าอนามัยที่มีคุณภาพดีราคาถูกเกิดขึ้น จะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายคุณผู้หญิงได้เป็นอย่างมาก
ในด้านการแข่งขัน เจ้าตลาดยังคงเป็นแบรนด์ต่างประเทศ เพราะเข้ามาทำตลาดก่อนเป็นเจ้าแรกๆ ทำตลาดในประเทศไทยมานานหลายสิบปี สำหรับผ้าอนามัยมิโดริเป็นแบรนด์ที่ผลิตโดยโรงงานของคนไทย เพิ่งเข้ามาทำตลาดไม่นาน ที่ผ่านมาผู้บริโภคยังติดภาพลักษณ์ของแบรนด์อยู่
วิสัยทัศนการมองพฤติกรรมผู้บริโภค
พฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เน้นการซื้อสินค้าที่มีความคุ้มค่า โดยพิจารณาจากราคาเป็นหลัก ซึ่งผ้าอนามัยแบรนด์มิโดริเองก็ถือเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการในสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ผ้าอนามัยก็ยังถือเป็นสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิตและคงดีกว่าหากภาครัฐ และภาคเอกชน ห้างโมเดิร์นเทรด ร้านค้าโชว์ห่วย และร้านสะดวกซื้อ จะช่วยกันผลักดันให้เกิดช่องทางจำหน่ายให้ผ้าอนามัยที่มีคุณภาพ และราคาถูก โดยให้ผู้หญิงไทยสามารถหาซื้อผ้าอนามัยได้ในราคาไม่เกินชิ้นละ 2 บาท เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด และทางมิโดริเองก็พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมไทยเพื่อให้เราก้าวผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ไปด้วยกัน
ช่องทางการติดตาม Midori (มิโดริ)
Facebook fanpage : https://www.facebook.com/Modernsoft.co.th
Website : https://www.modernsoft.co.th/
ผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัย และแผ่นอนามัย Midori (มิโดริ)
ศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่
Shopee >> bit.ly/2TJVd8V
Lazada >> bit.ly/38wflja
เรื่องโดย : คุณรินทร์รฐา วัชระธรรมศักดิ์
ตำแหน่ง : ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โมเดิร์น ซอฟท์ โปรดักส์ จำกัด